ประกาศผลสอบวิชาสามัญ 7 วิชา เผย เด็กไทยอ่อนคณิตศาสตร์มากที่สุด ผอ.สทศ. เชื่อคะแนนต่ำไม่ได้เกิดจากข้อสอบยาก
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) กล่าวว่า หลังจากที่ สทศ. ได้จัดสอบวิชาสามัญ 7 วิชา เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการรับบุคคลเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษานั้น ตอนนี้ ทาง สทศ. เองได้ตรวจข้อสอบเสร็จแล้ว และประกาศผลไปเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ผ่านเว็บไซต์ของ สทศ. ซึ่งคะแนนออกมาดังนี้
วิชาภาษาไทย คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนนเฉลี่ย 54.61 คะแนน คะแนนต่ำสุด 4 คะแนน คะแนนสูงสุด 90 คะแนน
วิชาสังคมศึกษา คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนนเฉลี่ย 32.97 คะแนน คะแนนต่ำสุด 0 คะแนน คะแนนสูงสุด 84 คะแนน
วิชาภาษาอังกฤษ คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนนเฉลี่ย 28.43 คะแนน คะแนนต่ำสุด 1.25 คะแนน คะแนนสูงสุด 92.50 คะแนน
วิชาคณิตศาสตร์ คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 19.92 คะแนน คะแนนต่ำสุด 0 คะแนน คะแนนสูงสุด 100 คะแนน
วิชาฟิสิกส์ คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนนเฉลี่ย 23.54 คะแนน คะแนนต่ำสุด 0 คะแนน คะแนนสูงสุด 100 คะแนน
วิชาเคมี คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 25.75 คะแนน คะแนนต่ำสุด 2 คะแนนคะแนนสูงสุด 90 คะแนน
วิชาชีววิทยา คะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 32.75 คะแนน คะแนนต่ำสุด 1 คะแนน คะแนนสูงสุด 93 คะแนน
จากผลสอบ พบว่า วิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด ซึ่งมากกว่าวิชาฟิสิกส์และเคมีที่ได้คะแนนดีกว่า
นอกจากนี้ นายสัมพันธ์ ยังกล่าวต่อไปว่า จากคะแนนวิชาความถนัดทั่วไป หรือ GAT และคะแนนความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT พบว่า คะแนนวิชาความถนัดทางคณิตศาสตร์ หรือ PAT1 มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 39.64 คะแนนจากคะแนนเต็ม 300 คะแนน ซึ่งถือว่าต่ำมากกว่าการสอบครั้งที่แล้ว ที่มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 64.22 คะแนน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ข้อสอบ PAT 1 เป็นข้อสอบปรนัย 125 คะแนน และข้อสอบเติมค่าตัวเลข 175 คะแนน เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า เด็กไทยต้องพัฒนาทักษะด้านการทำข้อสอบเติมคำตอบต่อไป
ส่วนคะแนน GAT ที่มีเด็กไทยทำคะแนนสูงสุดได้ถึง 300 คะแนน ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยแล้ว คะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 171.89 คะแนนเหลือเพียง 130.59 คะแนน ซึ่งก็ต้องมาวิเคราะห์กันว่า เกิดจากสาเหตุอะไร แต่ตนเชื่อว่า ไม่ได้เกิดจากการที่ข้อสอบยากขึ้นแน่นอน
จีบสาวไทยแลนด์
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ค้านยุบรวมคณิต-วิทย์ ชี้นักเรียนไทยอ่อนวิชานี้
นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยเพราะเด็กไทยอ่อนใน2หมวดวิชาดังกล่าวอยู่แล้ว จึงอาจส่งผลกระทบต่อการศึกษาในอนาคต ส่วนการลดชั่วโมงเรียนนั้น ศธ. ต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าเวลาที่เหลือนั้นจะเอาไปทำอะไร เพราะอาจเป็นการเปิดช่องให้โรงเรียนหากิจกรรมที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองมากขึ้น
ขณะที่นางนวลวรรณ สุนทรภิษัช รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ไม่เห็นด้วยได้กล่าวว่า ทั้งสองวิชามีความสำคัญเท่าเทียมกัน ทั้งยังเป็นรากฐานสำหรับนักเรียนที่จะไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. และประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า การควบรวมสองหลักสูตรคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่การลดความสำคัญของกลุ่มสาระ ขณะที่การลดชั่วโมงเรียนก็เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนเรึยนรู้นอกห้องเรียนมากขึ้น
วิจัยนร.ไทยอ่อน วิชาคณิต-วิทย์
ประเมินกับ52ชาติอยู่ท้ายแถว
น่าห่วงเด็กไทย อ่อนทั้งเลข และวิทย์ สสวท.เผยผลประเมิน TIMSS 2011 พบค่าเฉลี่ยคณิตศาสตร์ เด็ก ป.4 ของไทยติดกลุ่มบ๊วย อันดับ 34 จาก 52 ประเทศ ส่วนวิทยาศาสตร์ก็รั้งท้ายอยู่อันดับ 29 ขณะที่เด็กนักเรียนไทยชั้น ม.2 ยิ่งหนัก คะแนนประเมิน 2 วิชา รูดลงมาอยู่ที่โหล่ ตกต่ำลงกว่าปีก่อนๆ ตะลึงพบผลประเมินการสอนของแม่พิมพ์ไทยยังต่ำกว่าเกณฑ์ จี้โรงเรียนเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยด่วน
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายปรีชาญ เดชศรี รองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แถลงผลวิจัยการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ พ.ศ.2554 หรือ TIMSS 2011 ที่จัดโดย The International Association for the Evaluation of Educational Achievement หรือ IEA หน่วยงานประเมินคุณภาพด้านการศึกษานานาชาติ โดยระบุว่า ผลการวิจัยระดับชั้น ป.4 มี 52 ประเทศเข้าร่วม พบว่าเด็กไทยมีคะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ 458 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 34 และวิทยาศาสตร์ 472 คะแนน อยู่อันดับที่ 29 โดยประเทศที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคณิตศาสตร์ คือสิงคโปร์ ส่วนวิทยาศาสตร์สูงสุด ได้แก่ เกาหลีใต้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวม ไทยถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่ (poor) ในวิชาคณิตศาสตร์ ส่วนวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพอใช้ (Fair)
รอง ผอ.สสวท.กล่าวอีกว่า เมื่อจำแนกค่าเฉลี่ยนานาชาติที่กำหนดไว้ 500 คะแนน ตามรายสังกัดพบว่าโรงเรียนสาธิต มีคะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ 540 คะแนน วิทยาศาสตร์ 562 คะแนน โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) คณิตศาสตร์ 502 คะแนน วิทยาศาสตร์ 522 คะแนน โรงเรียนเอกชน คณิตศาสตร์ 487 คะแนน วิทยาศาสตร์ 509 คะแนน โรงเรียนสังกัดเทศบาล/ท้องถิ่น คณิตศาสตร์ 476 คะแนน วิทยาศาสตร์ 495 คะแนน และโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คณิตศาสตร์ 446 คะแนน วิทยาศาสตร์ 456 คะแนน จึงเห็นได้ว่า โรงเรียนในสังกัด อปท. และ สพฐ.เกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ
ทั้งนี้ เมื่อดูภาพรวมของเด็กไทยในระดับชั้นป.4 วิชาคณิตศาสตร์เด็กไทยร้อยละ 88 มีความสามารถตั้งแต่ระดับที่ต่ำมากไปจนถึงระดับปานกลาง มีเพียงร้อยละ 12 ที่ได้คะแนนอยู่ในระดับสูงถึงระดับก้าวหน้า ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์เด็กไทยร้อยละ 80 มีความสามารถตั้งแต่ระดับที่ต่ำมากไปจนถึงระดับปานกลาง และมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ที่มีคะแนนอยู่ในระดับสูงถึงระดับก้าวหน้า
สำหรับผลการประเมิน TIMSS 2011 ในส่วนของชั้น ม.2 นายปรีชาญ ระบุว่า มีประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งสิ้น 45 ประเทศ ไทยมีคะแนนเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ที่ 427 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 28 และวิทยาศาสตร์ 451 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 25 ขณะที่ประเทศที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในวิชาคณิตศาสตร์ ได้แก่ เกาหลีใต้ ส่วนวิทยาศาสตร์ ได้แก่ สิงคโปร์ เมื่อพิจารณาในภาพรวม เด็ก ม.2ไทยถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่ (poor) ทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยในปีก่อนๆยังพบว่า เด็กไทยชั้น ม. 2 มีคะแนนเฉลี่ยลดลงทั้งวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ด้วย
“ผลการวิจัยครั้งนี้ยังได้สำรวจครูผู้สอน พบว่าทั้งระดับชั้น ป.4 และ ม.2 ส่วนใหญ่ครูไทยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสัดส่วนที่สูงกว่าสิงคโปร์ แต่ผลการประเมินที่ออกมากลับต่ำกว่าสิงคโปร์ค่อนข้างมากทั้ง 2 วิชา นอกจากนี้ยังพบว่าครูไทยมีความมั่นใจในการสอน และความพร้อมในการเตรียมการสอนทั้ง 2 วิชาอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพิจารณาเนื้อหาในหลักสูตรของไทยทั้ง 2 วิชา พบว่าตรง กับเนื้อหา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จัดการเรียนได้สำเร็จเพียงร้อยละ 30 ขณะที่สิงคโปร์มีเนื้อหาหลักสูตรตรงกับการประเมินเพียงร้อยละ 70 แต่จัดการเรียนการสอนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเร่งด่วน โดยต้องพัฒนาครู สถานศึกษา และนักเรียนไปพร้อมๆกัน” นายปรีชาญ กล่าว
น่าห่วงเด็กไทย อ่อนทั้งเลข และวิทย์ สสวท.เผยผลประเมิน TIMSS 2011 พบค่าเฉลี่ยคณิตศาสตร์ เด็ก ป.4 ของไทยติดกลุ่มบ๊วย อันดับ 34 จาก 52 ประเทศ ส่วนวิทยาศาสตร์ก็รั้งท้ายอยู่อันดับ 29 ขณะที่เด็กนักเรียนไทยชั้น ม.2 ยิ่งหนัก คะแนนประเมิน 2 วิชา รูดลงมาอยู่ที่โหล่ ตกต่ำลงกว่าปีก่อนๆ ตะลึงพบผลประเมินการสอนของแม่พิมพ์ไทยยังต่ำกว่าเกณฑ์ จี้โรงเรียนเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยด่วน
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายปรีชาญ เดชศรี รองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แถลงผลวิจัยการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ พ.ศ.2554 หรือ TIMSS 2011 ที่จัดโดย The International Association for the Evaluation of Educational Achievement หรือ IEA หน่วยงานประเมินคุณภาพด้านการศึกษานานาชาติ โดยระบุว่า ผลการวิจัยระดับชั้น ป.4 มี 52 ประเทศเข้าร่วม พบว่าเด็กไทยมีคะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ 458 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 34 และวิทยาศาสตร์ 472 คะแนน อยู่อันดับที่ 29 โดยประเทศที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคณิตศาสตร์ คือสิงคโปร์ ส่วนวิทยาศาสตร์สูงสุด ได้แก่ เกาหลีใต้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวม ไทยถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่ (poor) ในวิชาคณิตศาสตร์ ส่วนวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพอใช้ (Fair)
รอง ผอ.สสวท.กล่าวอีกว่า เมื่อจำแนกค่าเฉลี่ยนานาชาติที่กำหนดไว้ 500 คะแนน ตามรายสังกัดพบว่าโรงเรียนสาธิต มีคะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ 540 คะแนน วิทยาศาสตร์ 562 คะแนน โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) คณิตศาสตร์ 502 คะแนน วิทยาศาสตร์ 522 คะแนน โรงเรียนเอกชน คณิตศาสตร์ 487 คะแนน วิทยาศาสตร์ 509 คะแนน โรงเรียนสังกัดเทศบาล/ท้องถิ่น คณิตศาสตร์ 476 คะแนน วิทยาศาสตร์ 495 คะแนน และโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คณิตศาสตร์ 446 คะแนน วิทยาศาสตร์ 456 คะแนน จึงเห็นได้ว่า โรงเรียนในสังกัด อปท. และ สพฐ.เกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ
ทั้งนี้ เมื่อดูภาพรวมของเด็กไทยในระดับชั้นป.4 วิชาคณิตศาสตร์เด็กไทยร้อยละ 88 มีความสามารถตั้งแต่ระดับที่ต่ำมากไปจนถึงระดับปานกลาง มีเพียงร้อยละ 12 ที่ได้คะแนนอยู่ในระดับสูงถึงระดับก้าวหน้า ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์เด็กไทยร้อยละ 80 มีความสามารถตั้งแต่ระดับที่ต่ำมากไปจนถึงระดับปานกลาง และมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ที่มีคะแนนอยู่ในระดับสูงถึงระดับก้าวหน้า
สำหรับผลการประเมิน TIMSS 2011 ในส่วนของชั้น ม.2 นายปรีชาญ ระบุว่า มีประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งสิ้น 45 ประเทศ ไทยมีคะแนนเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ที่ 427 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 28 และวิทยาศาสตร์ 451 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 25 ขณะที่ประเทศที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในวิชาคณิตศาสตร์ ได้แก่ เกาหลีใต้ ส่วนวิทยาศาสตร์ ได้แก่ สิงคโปร์ เมื่อพิจารณาในภาพรวม เด็ก ม.2ไทยถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่ (poor) ทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยในปีก่อนๆยังพบว่า เด็กไทยชั้น ม. 2 มีคะแนนเฉลี่ยลดลงทั้งวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ด้วย
“ผลการวิจัยครั้งนี้ยังได้สำรวจครูผู้สอน พบว่าทั้งระดับชั้น ป.4 และ ม.2 ส่วนใหญ่ครูไทยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสัดส่วนที่สูงกว่าสิงคโปร์ แต่ผลการประเมินที่ออกมากลับต่ำกว่าสิงคโปร์ค่อนข้างมากทั้ง 2 วิชา นอกจากนี้ยังพบว่าครูไทยมีความมั่นใจในการสอน และความพร้อมในการเตรียมการสอนทั้ง 2 วิชาอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพิจารณาเนื้อหาในหลักสูตรของไทยทั้ง 2 วิชา พบว่าตรง กับเนื้อหา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จัดการเรียนได้สำเร็จเพียงร้อยละ 30 ขณะที่สิงคโปร์มีเนื้อหาหลักสูตรตรงกับการประเมินเพียงร้อยละ 70 แต่จัดการเรียนการสอนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเร่งด่วน โดยต้องพัฒนาครู สถานศึกษา และนักเรียนไปพร้อมๆกัน” นายปรีชาญ กล่าว
น่าห่วงเด็กไทย อ่อนคณิต-วิทย์
| ถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงที่ว่า เด็กไทยอ่อนวิชาเลขและวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก ซึ่งหลายคนอาจจะเถียง เพราะเห็นอยู่ว่า แต่ละปีมีเด็กไทยได้เหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกปีละตั้งหลายคน เด็กๆ ที่เก่ง เขาก็เก่งกันจริงๆ แต่ถ้าเทียบสัดส่วนกับเด็กไทยทั่วประเทศแล้ว เด็กที่ไปชนะแข่งเลขระดับโลก มีจำนวนน้อยจริงๆ อาจจะแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ หรือน้อยกว่า สอดคล้องกับผลการประเมินระดับนานาชาติครั้งล่าสุด ที่เด็กไทยอยู่ในกลุ่มบ๊วย โดยทางสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. แถลงผลวิจัยการศึกษาแนวโน้ม การจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ หรือ TIMSS 2011 ระบุว่า ผลการวิจัยระดับชั้น ป.4 มี 52 ประเทศเข้าร่วม พบว่า เด็กไทยมีคะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ 458 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 34 และวิทยาศาสตร์ 472 คะแนน อยู่อันดับที่ 29 โดยประเทศที่มีคะแนนคณิตศาสตร์เฉลี่ยสูงสุดคือ สิงคโปร์ ส่วนวิทยาศาสตร์สูงสุด ได้แก่ เกาหลีใต้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวม ในวิชาคณิตศาสตร์ ไทยถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่ ส่วนวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพอใช้ และเมื่อเจาะจงไปดูภาพรวมของเด็กไทยในระดับชั้น ป.4 พบว่า วิชาคณิตศาสตร์เด็กไทยร้อยละ 88 มีความสามารถตั้งแต่ระดับที่ต่ำถึงปานกลาง มีเพียงร้อยละ 12 ที่ได้คะแนนอยู่ในระดับสูง ถึงก้าวหน้า ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ เด็กไทยร้อยละ 80 มีความสามารถตั้งแต่ระดับที่ต่ำมากถึงปานกลาง และมีเพียงร้อยละ 20 ที่มีคะแนนอยู่ในระดับสูงถึงก้าวหน้า ผลการวิจัยครั้งนี้ยังได้สำรวจครูผู้สอน พบว่า ทั้งระดับชั้น ป.4 และ ม.2 ส่วนใหญ่ครูไทยจบปริญญาตรีในสัดส่วนที่สูงกว่าสิงคโปร์ แต่ผลการประเมินที่ออกมากลับต่ำกว่าสิงคโปร์ค่อนข้างมากทั้ง 2 วิชา นอกจากนี้ยังพบว่าครูไทยมีความมั่นใจในการสอน และความพร้อมในการเตรียมการสอนทั้ง 2 วิชาอยู่ในระดับต่ำ และเมื่อพิจารณาเนื้อหาในหลักสูตรของไทยทั้ง 2 วิชา พบว่าตรงกับเนื้อหา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จัดการเรียนได้สำเร็จเพียงร้อยละ 30 ขณะที่สิงคโปร์มีเนื้อหาหลักสูตรตรงกับการประเมินเพียงร้อยละ 70 แต่จัดการเรียนการสอนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้ ทางรองผู้อำนวยการ สสวท. นายปรีชาญ เดชศรี ให้ความเห็นว่า หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเร่งด่วน โดยต้องพัฒนาครู สถานศึกษา และนักเรียนไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจากความเห็นของอาจารย์หลายท่าน ที่เขาติดตามปัญหานี้อยู่ พุ่งเป้าไปที่ตัวครูเป็นสำคัญ ทั้งวิธีการเรียนการสอนของครู หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะต้องทำอย่างไรให้เด็กไทย มีใจรักวิชาคณิตศาสตร์ให้ได้ เพราะที่ผ่านมา "นิด้าโพล" เคย เปิดเผยความคิดเห็นของประชาชนจากหลากสาขาอาชีพ ทั่วประเทศกว่า 1,200 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 37.52 ระบุว่าในวัยเด็กไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์มากที่สุด รองลงมาร้อยละ 30.31 ไม่ชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และอีกร้อยละ 8.40 ไม่ชอบเรียนวิชาภาษาไทย ซึ่งจากการสอบถามเด็กๆ ถึงสาเหตุที่ไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ มาเป็นอันดับ 1 เพราะมักคิดว่า เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนให้ยากขนาดนั้น แต่จริงๆ แล้ว วิชาคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของทุกศาสตร์ ทุกสาขาวิชา อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน อย่างน้อยเวลาไปซื้อของก็ต้องมีการคำนวณ สรุปคือเก่งคณิตศาสตร์ไว้ก่อนดีที่สุด เพราะมันยังทำให้เราเป็นคนคิดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน และแก้ปัญหาต่างๆ เฉพาะหน้าได้ดีอีกด้วย สำหรับเคล็ดลับวิธีเรียนคณิตศาสตร์ให้เก่ง พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถแนะนำบุตรหลานได้ ก่อนอื่นต้องบอกน้องๆ ก่อนเลย ว่าเพื่อนๆ ที่เขาเก่งเลขนั้น ไม่ได้มาจากพรสวรรค์ล้วนๆ ทุกคนสามารถฝึกฝน ทำใจให้รักคณิตศาสตร์กันได้ โดยเริ่มจากไม่มองข้ามนิยามต่างๆ เพราะสูตรทุกสูตร ต่างคิดขึ้นมาจากนิยามทั้งนั้น หากรู้นิยามแล้ว หากไม่มีสูตรก็สามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ เข้าใจทฤษฎีบท สูตร และพลิกแพลงใช้ให้เป็น ท่องจำบ้างในบางโอกาส แต่เอาเฉพาะที่จำเป็น อย่างน้อยก็ต้องจำนิยามหรือสูตรเบื้องต้นต่างๆ โดยควรจำอย่างมีเทคนิคและเป็นระบบ และที่สำคัญ ฝึกทำโจทย์บ่อยๆ เพราะถ้าหมั่นฝึกฝนบ่อยๆ จะช่วยให้จำน้อยลง เพราะเทคนิคหรือนิยามต่างๆ จะถูกฝังเข้าไปในหัวเราแบบอัตโนมัติ สิ่งสำคัญคือ ความมีวินัยในตัวเอง ซึ่งการเริ่มฝึกสิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่เด็กๆ จะช่วยให้เราเกิดความเคยชิน อาจจะเหนื่อยสักหน่อย แต่ผู้ปกครองควรชี้แนะให้เด็กๆ เห็นตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จ ที่มักเรียนหนักมาก่อน แล้วจึงได้ทำงานสบายทีหลัง |
เด็กไทยอ่อนวิทย์คณิต
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยผลการวิจัยการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติ พ.ศ. 2554 (Trend in International Mathematics and Science Study 2011 : TIMSS 2011) ดำเนินการโดย IEA (The International Association for the Evaluation of Educational Achievement)
โดยผลปรากฎว่า ระดับคะแนนในวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และมัธยมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับแย่ (poor) ว่า แนวโน้มคะแนนประเมินระดับนานาชาติของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นต้องแก้ไขโดยการยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งตนได้มอบหมายนายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการศธ. ไปพิจารณาวางแผนยกระดับคุณภาพการศึกษาแล้ว โดยเน้น 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การปรับหลักสูตรและพัฒนาครู โดยเฉพาะหลักสูตรไม่ได้หมายถึงแค่การเรียนในห้องเรียน แต่เด็กต้องมีพัฒนาการนอกห้องเรียน มีความคิดสร้างสรรค์และมีจิตสำนึกประชาธิปไตย ส่วนครูก็ต้องมีคุณภาพเพราะถ้าครูสอนได้ดี ลูกศิษย์ก็จะไปได้ดี
“เราจะต้องมาทบทวนกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพราะจริง ๆ แล้วเด็กไทยต้องเรียนเนื้อหาเยอะมากในแต่ละวัน เมื่อต้องเอาสาระที่มีจำนวนมากมาพยายามอัดใส่เด็กทำให้เด็กไม่มีเวลาคิด กลายเป็นการเรียนแบบท่องจำอย่างเดียว ดังนั้นควรจะเติมเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการปลูกฝังจิตสำนึกในด้านต่างๆ แทรกซึมเข้าไปในการเรียนการสอนด้วย เพราะความคิดสร้างสรรค์จะทำให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น ทั้งนี้ในการประชุมผู้บริหารศธ.ทุก 2 สัปดาห์จะนำเรื่องนี้มาหารือกัน แต่โดยหลักการจะต้องทีการปฏิรูปหลักสูตรในภาพรวมทั้งหมด ทั้งเรื่องของเนื้อหาและโครงสร้างเวลาเรียน รวมการพัฒนาครูทั้งระบบ เพราะถ้ายังไม่ปรับตรงนี้ ผลการศึกษาของเด็กไทยก็จะมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องอีก” นายพงศ์เทพ กล่าว
หลักสูตรคณิตศาสตร์ FAN Math จะช่วยแก้ปัญหาเด็กอ่อนคณิตศาสตร์ ไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ หรือเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ในการแก้ปัญหานักเรียนเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจ ไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ ขาดความมั่นใจในการเรียนคณิตศาสตร์ หรือที่คุณพ่อคุณแม่มักเรียกสั้นๆ ว่า “อ่อนคณิตศาสตร์” นั้น ในเบื้องต้นเรามีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุก่อนว่า – – ทำไมนักเรียนถึงอ่อนคณิตศาสตร์ – – ซึ่งฝ่ายวิชาการคณิตศาสตร์ SE-ED Leaning Center ขออนุญาตสรุปให้คุณพ่อคุณแม่ ได้รับทราบในเบื้องต้น ดังต่อไปนี้
นักเรียนที่อ่อนคณิตศาสตร์มักเกิดจากกระบวนการเรียนการสอน ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจในหลักการทางคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียน โดยนักเรียนจะถูกสอนให้จำแต่วิธีการคำนวณ เช่น ยืมต้องเป็นแบบนี้ ทดต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเจอคำว่ารวมให้ใช้การบวก ถ้าเจอคำว่าเหลือให้ใช้การลบ การคูณสองหลักหลักที่สองต้องขยับมาข้างหน้าหนึ่งหลัก การคูณทศนิยมผลคูณจะมีจำนวนหลักทศนิยมเท่ากับผลรวมของหลักทศนิยมของจำนวนที่คูณกัน การเทียบบัญญัติไตรยางค์ให้คูณตัวขวาบนแล้วหารด้วยตัวขวาล่าง การบวกลบเศษส่วนต้องทำส่วนให้เท่ากันเสมอ การหารเศษส่วนให้เปลี่ยนหารเป็นคูณแล้วกลับเศษเป็นส่วนกลับส่วนเป็นเศษ การตั้งสมการให้เอาสิ่งที่โจทย์ถามมากำหนดเป็น x เสมอ ฯลฯ พอนักเรียนถูกสอนให้จดจำแบบนี้โดยที่ไม่เข้าใจที่มาที่ไป หรือหลักการทางคณิตศาสตร์ที่แท้จริง นักเรียนจะเริ่มรู้สึกว่า การเรียนในวิชาคณิตศาสตร์มีสิ่งที่ต้องจดจำอยู่มากมาย จนเป็นภาระที่น่าเบื่อหน่าย ยิ่งนักเรียนเรียนคณิตศาสตร์โดยวิธีที่ไม่ถูกต้องนานขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนก็จะยิ่งมีเจตคติที่ไม่ดีกับการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พอนักเรียนเริ่มเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจในบทหนึ่ง จนขาดพื้นฐานที่ดี ก็จะทำให้นักเรียนเรียนบทต่อไปไม่เข้าใจเพิ่มเติมไปอีก จนความไม่เข้าใจสะสมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นความไม่เข้าใจซ้ำซ้อนที่แก้ไขได้ยาก เพราะเมื่อถามนักเรียนว่าไม่เข้าใจตรงไหน หรือเรื่องอะไร นักเรียนจะตอบไม่ได้ หรืออาจจะตอบว่า “ไม่เข้าใจทั้งหมด” เพราะนักเรียนมีสิ่งที่ไม่เข้าใจสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก จนไม่ทราบว่าตนเองไม่เข้าใจอะไรบ้าง เช่น นักเรียนที่ไม่สามารถแก้โจทย์สมการในเนื้อหาที่เรียนในระดับชั้น ป.6 คุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าใจผิดคิดว่านักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง “สมการ” ที่เรียนในระดับชั้น ป.6 แต่อันที่จริงแล้ว โจทย์สมการที่นักเรียนทำไม่ได้ จะเป็นโจทย์สมการที่ต้องใช้พื้นฐานของเรื่อง “เศษส่วน” มาช่วยในการแก้สมการ ไม่ใช่แค่ว่านักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง “สมการ” แต่นักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง “เศษส่วน” ที่เคยเรียนผ่านมาแล้วในชั้น ป.4 และ ป.5 ต่างหาก ซึ่งต่อให้นักเรียนคนนี้เรียนเสริมในเรื่องสมการซ้ำอีกกี่รอบ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจนี้ได้
นักเรียนในระดับชั้น ป.2 – ป.3 เนื้อหาที่มักไม่เข้าใจ คือ นักเรียนไม่เข้าใจหลักการของการคูณ ไม่เข้าใจหลักการของการหาร ท่องสูตรคูณไม่คล่องจนขาดความมั่นใจในการเรียน ตีความโจทย์ไม่ออกเขียนประโยคสัญลักษณ์ไม่ได้
นักเรียนส่วนมากจะเริ่มเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจ ในระดับชั้น ป.4 เพราะเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ที่นักเรียนเรียน เริ่มออกนอกระบบจำนวนนับที่นักเรียนสามารถนึกภาพ และจับต้องได้ โดยเนื้อหาที่นักเรียนมักเรียนไม่เข้าใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เรียนบทอื่นๆ ไม่เข้าใจตามไปด้วยก็คือ เศษส่วน และการประยุกต์ใช้ ค.ร.น. ในการบวกลบเศษส่วน ซึ่งหากนักเรียนเรียนเศษส่วนไม่เข้าใจ ก็จะทำให้เรียนในเรื่องร้่อยละ และทศนิยมไม่เข้าใจตามไปด้วย
เนื้อหาที่นักเรียนในระดับชั้น ป.6 มักเรียนไม่เข้าใจ คือ เนื้อหาในเรื่องสมการ เพราะนักเรียนมักจะไม่สามารถตีความโจทย์ เพื่อตั้งสมการได้ ยิ่งเป็นการตั้งสมการที่มีความเกียวข้องกับเนื้อหาในส่วนอื่นๆ เช่น เศษส่วน ร้อยละ นักเรียนก็จะยิ่งไม่เข้าใจ
เมื่อนักเรียนสะสมความไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายนักเรียนก็จะขาดความมั่นใจในการเรียนคณิตศาสตร์ไปในที่สุด และเมื่อยิ่งมีผลสอบในวิชาคณิตศาสตร์ไม่ดีต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้นักเรียนรู้สึกกังวล และรู้สึกว่า “คณิตศาสตร์เป็นเรื่องยากที่เกินความสามารถของตนเอง” จนสูญเสียความมั่นใจในการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า Math Anxietyในที่สุด
นักเรียนที่อ่อนคณิตศาสตร์มักเกิดจากกระบวนการเรียนการสอน ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจในหลักการทางคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียน โดยนักเรียนจะถูกสอนให้จำแต่วิธีการคำนวณ เช่น ยืมต้องเป็นแบบนี้ ทดต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเจอคำว่ารวมให้ใช้การบวก ถ้าเจอคำว่าเหลือให้ใช้การลบ การคูณสองหลักหลักที่สองต้องขยับมาข้างหน้าหนึ่งหลัก การคูณทศนิยมผลคูณจะมีจำนวนหลักทศนิยมเท่ากับผลรวมของหลักทศนิยมของจำนวนที่คูณกัน การเทียบบัญญัติไตรยางค์ให้คูณตัวขวาบนแล้วหารด้วยตัวขวาล่าง การบวกลบเศษส่วนต้องทำส่วนให้เท่ากันเสมอ การหารเศษส่วนให้เปลี่ยนหารเป็นคูณแล้วกลับเศษเป็นส่วนกลับส่วนเป็นเศษ การตั้งสมการให้เอาสิ่งที่โจทย์ถามมากำหนดเป็น x เสมอ ฯลฯ พอนักเรียนถูกสอนให้จดจำแบบนี้โดยที่ไม่เข้าใจที่มาที่ไป หรือหลักการทางคณิตศาสตร์ที่แท้จริง นักเรียนจะเริ่มรู้สึกว่า การเรียนในวิชาคณิตศาสตร์มีสิ่งที่ต้องจดจำอยู่มากมาย จนเป็นภาระที่น่าเบื่อหน่าย ยิ่งนักเรียนเรียนคณิตศาสตร์โดยวิธีที่ไม่ถูกต้องนานขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนก็จะยิ่งมีเจตคติที่ไม่ดีกับการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พอนักเรียนเริ่มเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจในบทหนึ่ง จนขาดพื้นฐานที่ดี ก็จะทำให้นักเรียนเรียนบทต่อไปไม่เข้าใจเพิ่มเติมไปอีก จนความไม่เข้าใจสะสมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นความไม่เข้าใจซ้ำซ้อนที่แก้ไขได้ยาก เพราะเมื่อถามนักเรียนว่าไม่เข้าใจตรงไหน หรือเรื่องอะไร นักเรียนจะตอบไม่ได้ หรืออาจจะตอบว่า “ไม่เข้าใจทั้งหมด” เพราะนักเรียนมีสิ่งที่ไม่เข้าใจสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก จนไม่ทราบว่าตนเองไม่เข้าใจอะไรบ้าง เช่น นักเรียนที่ไม่สามารถแก้โจทย์สมการในเนื้อหาที่เรียนในระดับชั้น ป.6 คุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าใจผิดคิดว่านักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง “สมการ” ที่เรียนในระดับชั้น ป.6 แต่อันที่จริงแล้ว โจทย์สมการที่นักเรียนทำไม่ได้ จะเป็นโจทย์สมการที่ต้องใช้พื้นฐานของเรื่อง “เศษส่วน” มาช่วยในการแก้สมการ ไม่ใช่แค่ว่านักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง “สมการ” แต่นักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง “เศษส่วน” ที่เคยเรียนผ่านมาแล้วในชั้น ป.4 และ ป.5 ต่างหาก ซึ่งต่อให้นักเรียนคนนี้เรียนเสริมในเรื่องสมการซ้ำอีกกี่รอบ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจนี้ได้
นักเรียนในระดับชั้น ป.2 – ป.3 เนื้อหาที่มักไม่เข้าใจ คือ นักเรียนไม่เข้าใจหลักการของการคูณ ไม่เข้าใจหลักการของการหาร ท่องสูตรคูณไม่คล่องจนขาดความมั่นใจในการเรียน ตีความโจทย์ไม่ออกเขียนประโยคสัญลักษณ์ไม่ได้
นักเรียนส่วนมากจะเริ่มเรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจ ในระดับชั้น ป.4 เพราะเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ที่นักเรียนเรียน เริ่มออกนอกระบบจำนวนนับที่นักเรียนสามารถนึกภาพ และจับต้องได้ โดยเนื้อหาที่นักเรียนมักเรียนไม่เข้าใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เรียนบทอื่นๆ ไม่เข้าใจตามไปด้วยก็คือ เศษส่วน และการประยุกต์ใช้ ค.ร.น. ในการบวกลบเศษส่วน ซึ่งหากนักเรียนเรียนเศษส่วนไม่เข้าใจ ก็จะทำให้เรียนในเรื่องร้่อยละ และทศนิยมไม่เข้าใจตามไปด้วย
เนื้อหาที่นักเรียนในระดับชั้น ป.6 มักเรียนไม่เข้าใจ คือ เนื้อหาในเรื่องสมการ เพราะนักเรียนมักจะไม่สามารถตีความโจทย์ เพื่อตั้งสมการได้ ยิ่งเป็นการตั้งสมการที่มีความเกียวข้องกับเนื้อหาในส่วนอื่นๆ เช่น เศษส่วน ร้อยละ นักเรียนก็จะยิ่งไม่เข้าใจ
เมื่อนักเรียนสะสมความไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายนักเรียนก็จะขาดความมั่นใจในการเรียนคณิตศาสตร์ไปในที่สุด และเมื่อยิ่งมีผลสอบในวิชาคณิตศาสตร์ไม่ดีต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้นักเรียนรู้สึกกังวล และรู้สึกว่า “คณิตศาสตร์เป็นเรื่องยากที่เกินความสามารถของตนเอง” จนสูญเสียความมั่นใจในการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า Math Anxietyในที่สุด
ทำอย่างไรให้เด็กไทยเก่งคณิตศาสตร์
นักเรียนระดับประถมศึกษาที่เข้าสอบสอบแข่งขันชิงแชมป์การคิดและแก้ปัญหาคณิตศาสตร์
1,811 คนได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่จะทำให้เด็กไทยเก่งคณิตศาสตร์ดังนี้
1. คุณสมบัติของนักเรียน นักเรียนต้องสนใจเรียน เรียนด้วยความเข้าใจ
เห็นคุณค่าของวิชาคณิตศาสตร์ ชอบคิดคำนวณ ชอบคิดชอบแก้ปัญหา
สามารถประยุกต์ความรู้ไปใช้แก้ปัญหา
ฝึกฝนและทบทวนด้วยตนเองสม่ำเสมอ มีพื้นฐานความรู้คณิตศาสตร์ดี
และควรกล้าซักถามกล้าแสดงออก
2. คุณสมบัติของผู้ปกครอง ผู้ปกครองควรสนับสนุนหรือเอาใจใส่การเรียนของนักเรียนและให้คำปรึกษา ควรมีการศึกษาอย่างน้อยมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป
และฐานะทางเศรษฐกิจไม่ขัดสน
3. คุณสมบัติของหลักสูตร หลักสูตรที่จะทำให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์ควรมีเนื้อหาวิชาหลากหลาย
ควรมีเนื้อหายากบ้าง เวลาเรียนต้องเพิ่มมากกว่าปัจจุบัน
ผู้บริหารของโรงเรียนควรสนับสนุนทุกด้าน สื่อการสอนและเครื่องอำนวยการสอนต้องมีพอเพียง
จำนวนนักเรียนในแต่ละห้องควรมีจำนวนที่ไม่มากจนเกินไป
4. คุณสมบัติของครูคณิตศาสตร์ ครูคณิตศาสตร์ต้องสอนดี
อธิบายรู้เรื่อง
อดทนที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจ ใช้สื่อการสอนเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจ
วิธีสอนของครูควรน่าสนใจ มีความรู้ดี มีความมั่นใจในตนเอง สอนโดยเน้นการคิดแก้ปัญหาและเน้นการนำไปใช้ ให้โอกาสนักเรียนตอบอย่างอิสระ มีแรงจูงใจในการทำงาน มีภาระงานพอดีเพื่อมีเวลาให้เด็ก ฝึกให้นักเรียนอ่านเองและสรุปเองบ้าง เข้มงวดในการทำการบ้านและตรวจสม่ำเสมอ
สอนจริงจังแต่ไม่ดุไม่เจ้าอารมณ์
จบสาขาคณิตศาสตร์โดยตรง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)